วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

27 Dresses


27 Dresses 1/6 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



27 Dresses 2/6 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



27 Dresses 3/6 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



27 Dresses 4/6 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



27 Dresses 5/6 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



27 Dresses 6/6 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

สลัดตาเดียวกับเด็ก 200 ตา


สลัดตาเดียว กับ เด็ก200ตา 1/5 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่




สลัดตาเดียว กับ เด็ก200ตา 2/5 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่




สลัดตาเดียว กับ เด็ก200ตา 3/5 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



สลัดตาเดียว กับ เด็ก200ตา 4/5 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



สลัดตาเดียว กับ เด็ก200ตา 5/5 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เซนต์เซย่า ภาคเจ้านรกฮาเดส บทเอลิเชี่ยน


"เซนต์เซย่า" (ภาคเจ้านรกฮาเดส บทเอลิเชี่ยน) OVA : ตอนที่ 1 (ซับไทย) - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



"เซนต์เซย่า" (ภาคเจ้านรกฮาเดส บทเอลิเชี่ยน) OVA : ตอนที่ 2 (ซับไทย) - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



บอกตามตรงว่าเพิ่งเคยดูเซนต์เซย่าเป็นครั้งแรก เคยแต่ฟังเค้าคุย ๆ กัน ก็เลยอยากรู้ขึ้นมาว่าการ์ตูนเรื่องนี้มันสนุกตรงไหน ดูแล้วก็เชียนมาคุยกันได้นะ

1408 ห้องสุสานแตก


1408 ห้องสุสานแตก ตอนที่ 1 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



1408 ห้องสุสานแตก ตอนที่ 2 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



1408 ห้องสุสานแตก ตอนที่ 3 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่




1408 ห้องสุสานแตก ตอนที่4 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ข้อแนะนำในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ด้วยวิธีง่ายๆ

บทความจาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=homkorn&month=11-2006&date=07&group=5&gblog=1

การสร้างมนุษยสัมพันธ์ด้วยวิธีง่ายๆ

1. ยิ้ม ว่ากันว่ายิ้มเป็นการลงทุนที่น้อยที่สุด แต่ได้ผลมากที่สุดในการพบปะกับบุคคลอื่น พยายามให้ตัวเองมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มเปิดเผยอย่างจริงใจ คือยิ้มทั้งกายภายนอกและยิ้มที่ใจ การยิ้มแสดงถึงความสุข มีไมตรีจิต มีเมตตาจิตต่อผู้อื่น (ยกเว้นการซ่อนดาบในรอยยิ้ม - อันนี้ จขบ. ว่าเอง)

2. พูดน้อยฟังมากในการติดต่อกับผู้อื่น เขาบอกให้พยายามพูดแต่น้อยๆ พูดแต่เรื่องดีๆ มีสาระ และเป็นเรื่องที่น่าสนใจของคู่สนทนา ไม่ใช่พูดแต่เฉพาะเรื่องที่เราสนใจคนเดียว ใครไม่สนก็ช่าง (อย่างนี้เธอก็พูดคนเดียวไปเถอะ ก็ชั้นไม่สนใจด้วยนี่นา)ว่ากันว่าธรรมชาติสร้างให้มีปากเดียวแต่มีสองหู เหมือนเป็นการบอกใบ้ให้ใช้อย่างเหมาะสมคือพูดให้น้อยฟังให้มาก ที่สำคัญการพูดน้อยฟังมากเป็นเสน่ห์อย่างง่ายๆ ซึ่งใครๆ ก็ชอบ (โดยเฉพาะคนชอบพูดจะชอบมากเวลามีคนฟังเราพูด)และควรงดการพูดเพ้อเจ้อนินทาคนอื่น ยุแหย่ ส่อเสียด อิจฉาริษยา ประชด ฯลฯ โดยเด็ดขาด (อันนี้ยากหงะ) เพราะไม่เกิดผลดีแก่ใครทั้งสิ้น มีแต่เรื่องเสียหาย(พระท่านว่าร้อนเขาร้อนเรา-ไม่ดี ร้อนเขาไม่ร้อนเรา-ก็ไม่ดี ไม่ร้อนเขาแต่ร้อนเรา-ก็ไม่ดี ถ้าจะให้ดีต้องไม่ร้อนทั้งเขาและเรา อันนี้พูดเลย)

3. หลีกเลี่ยงการพูดตำหนิติเตียนบางครั้งคนเราชอบตำหนิคนอื่นเมื่อเห็นว่าเขาทำผิดพลาด ความจริงทุกคนมีจุดอ่อน มีความบกพร่องทั้งทางร่างกายและการปฏิบัติตัวกันทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย อย่างในเรื่องการทำงาน-เราอาจมองว่าเขาผิดเขาบกพร่อง แท้จริงเขาอาจจะไม่ผิดก็ได้ แต่เป็นการมองคนละทัศนะเท่านั้น แม้ที่สุดเขาจะทำผิดจริงบกพร่องจริง เราก็ควรพยายามทำใจเปิดกว้างเห็นอกเห็นใจเขา เพราะการผิดพลาดเป็นวิสัยธรรมดาของปุถุชนอย่างเราๆ ท่านๆ จงระลึกไว้เสมอว่า คนที่ไม่ทำผิดก็คือคนที่ไม่ทำอะไรเลยฉะนั้น ถ้าไม่จำเป็นแล้ว เราควรพยายามหลีกเลี่ยงการบ่นว่าวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิติเตียนผู้อื่นให้มากที่สุด เพราะจะทำให้คนถูกตำหนิ ถูกประณาม เสียหน้า เสียใจ ที่สำคัญคือมันไม่ได้ช่วยให้สิ่งที่ผิดไปแล้วคืนดีมาได้ นอกจากจะเสียงานแล้วยังจะทำให้เสียน้ำใจกันอีก

4. หลีกเลี่ยงการฉีกหน้าบางครั้งในกลุ่มคนหรือในที่ประชุม มีบางคนกล่าวผิดพลาด กล่าวคลาดเคลื่อน แต่การโต้แย้งอย่างฉับพลันทันทีเอาความจริงมาพูดหักล้างกัน ก็จะทำให้เขาเสียหน้ามาก ดังนั้น จึงต้องระวังที่สุดโดยเฉพาะถ้าเป็นกรณีผู้บังคับบัญชากล่าวผิดพลาดคลาดเคลื่อน ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ ถ้าจำเป็นจะต้องแย้งเพื่อมิให้เสียงานเสียการกันจริงๆ ก็ให้ใช้วิธีเงียบๆ เช่น อาจเขียนโน๊ตส่งไปให้อ่าน หรือทำเฉยไว้ก่อนแล้วค่อยมาโต้แย้งภายหลังเมื่ออยู่เฉพาะสองต่อสอง เป็นต้นอย่าลืมว่า การฉีกหน้าคนเป็นการทำลายมิตร และก่อศัตรูโดยแท้

5. หลีกเลี่ยงการโต้แย้งถกเถียงทะเลาะกันในเรื่องไร้สาระบางครั้งคนเราชอบโต้แย้งถกเถียงกันในเรื่องต่างๆ ที่เป็นปัญหาโลกแตกไม่มีที่ยุติ การโต้แย้งโต้เถียงกันอย่างเคร่งเครียด อาจนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งวิวาทกัน ผิดใจกัน ทำให้เกิดอารมณ์เครียดโกรธและเป็นอันตรายต่อร่างกายและสุขภาพจิตมากผลการโต้แย้งไม่ทำให้ผู้แพ้ ผู้ชนะ หรือสังคม ได้ประโยชน์อะไรเลย มีแต่ความเสียหายจึงควรงดเว้นอย่างเด็ดขาด ผู้อื่นพูดคิดเห็นแตกต่างกับเรา เราก็ยอมรับฟัง แล้วก็เฉยเสียก็จบเรื่อง ตัดปัญหาไปเลย

6. รู้คุณคนทำดีให้ไม่มีวันลืมบุญคุณต้องทดแทน ใครทำความดีให้แม้เพียงเล็กน้อย เราควรต้องรู้สึกรำลึกถึงบุญคุณของเขาอยู่เสมอ ไม่ลืมเลือนและแสดงออกมาให้เขารู้และพยายามตอบแทนบุญคุณท่าที่จะทำได้ แม้ยังตอบแทนไม่ได้ก็พูดออกมา แสดงออกมาว่าเรารู้สึกสำนึกในบุญคุณ ก็เป็นการทำดีแล้วชั้นหนึ่งความกตัญญูรู้คุณเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของมนุษย์ เป็นมงคลเป็นศรีแก่ผู้ปฏิบัติ ผู้ที่เจริญก้าวหน้าทั้งหลายล้วนมีคุณธรรมข้อนี้ทั้งสิ้น

7. พยายามเห็นใจและให้อภัยเมื่อใครทำอะไรให้เราไม่พอใจเมื่อใครทำสิ่งที่ไม่เป็นที่พอใจแก่เรา อย่าเพิ่งโกรธและตอบโต้ พยายามเห็นอกเห็นใจเขา พยายามดูสาเหตุที่เขาทำ เพราะเขาอาจทำด้วยความเข้าใจผิด หรือด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฯลฯเมื่อเห็นสาเหตุแห่งการทำผิด ควรพยายามเห็นใจเข้าใจและให้อภัยเขา เพราะการให้อภัยเป็นเมตตาธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ใจเราสบาย ใจเขาก็สบาย เป็นการลดศัตรูและก่อมิตรภาพทางหนึ่ง

8. เมื่อทำผิดจงรับผิดอย่างเต็มใจการรับผิดอย่างจริงใจจะมีผลทางจิตวิทยา ทำให้ผู้อื่นลดความโกรธความไม่พอใจ และเกิดความเห็นอกเห็นใจ เกิดความนิยมนับถือในจิตใจที่กว้างขวางเป็นนักกีฬาของเรา ทั้งยังช่วยให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความคิดให้อภัยได้ง่ายขึ้นด้วยตรงข้ามการดื้อรั้นโต้เถียงไม่ยอมรับผิด จะทำให้ผู้เกี่ยวข้องยิ่งไม่พอใจ และจะพยายามหาเหตุผลมากล่าวเอาความผิดจากเราให้ได้ในที่สุด

ทั้ง 8 ประการนี้ นอกจากเอามาย้ำเตือนสติให้ได้คิดกันแล้วเราเองก็มีโอกาสได้ทบทวนตัวเองด้วยว่ายังขาดตกบกพร่องในเรื่องใดอีกบ้างคงไม่มีใครอยากได้ศัตรูเพิ่มกระมังทำเช่นที่ผู้เขียนแนะนำมานี้ รับรองว่านอกจากลดศัตรูได้แล้ว ยังเกิดมิตรภาพใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอนอย่าลืมถามตัวเองทุกวันว่า วันนี้คุณได้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นแล้วหรือยัง ?

สมบัติผู้ดี 10 ภาค

สมบัติของผู้ดี ภาค ๑ ผู้ดี ย่อมรักษา ความเรียบร้อย


กายจริยา คือ (๑) ย่อมไม่ใช้กิริยาข้ามกรายบุคคล. (๒) ย่อมไม่อาจเอื้อมในที่ต่ำสูง. (๓) ย่อมไม่ล่วงเกินถูกต้องผู้อื่นซึ่งไม่ใช่หยอกกันฐานเพื่อน. (๔) ย่อมไม่เสียดสีกระทบกระทั่งกายบุคคล. (๕) ย่อมไม่ลุกนั่งเดินเหินให้พรวดพราดโดนผู้คนหรือสิ่งของแตกเสียหาย. (๖) ย่อมไม่ส่งของให้ผู้อื่นด้วยกิริยาอันเสือกไสผลักโยน. (๗) ย่อมไม่ผ่านหน้าหรือบังตาผู้อื่น เมื่อเขาดูสิ่งใดอยู่ เว้นแต่เป็นที่เฉพาะไป. (๘) ย่อมไม่เอิกอึงเมื่อเวลาผู้อื่นทำกิจ. (๙) ย่อมไม่อื้ออึงในเวลาประชุมสดับตรับฟัง. (๑๐) ย่อมไม่แสดงกิริยาตึงตัง หรือพูดจาอึกทึกในบ้านแขก. วจีจริยา คือ (๑) ย่อมไม่สอดสวนวาจาหรือแย่งชิงพูด. (๒) ย่อมไม่พูดด้วยเสียงอันดังเหลือเกิน. (๓) ย่อมไม่ใช้เสียงตวาด หรือพูดจากระโชกกระชาก. (๔) ย่อมไม่ใช้วาจาอันหักหาญดึงดัน. (๕) ย่อมไม่ใช้ถ้อยคำอันหยาบคาย. มโนจริยา คือ (๑) ย่อมไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านกำเริบหยิ่งโยโส. (๒) ย่อมไม่บันดาลโทสะให้เสียกิริยา.

สมบัติของผู้ดี ภาค ๒ ผู้ดี ย่อมไม่ทำอุจาดลามก


กายจริยา คือ (๑) ย่อมใช้เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวอันสะอาด และแต่งโดยเรียบร้อยเสมอ. (๒) ย่อมไม่แต่งตัวในที่แจ้ง. (๓) ย่อมไม่จิ้มควักล้วงแคะแกะเการ่างกายในที่ชุมชน. (๔) ย่อมไม่กระทำการที่ควรจะทำในที่ลับในที่แจ้ง. (๕) ย่อมไม่หาวเรอให้ปรากฏในที่ชุมชน. (๖) ย่อมไม่จามด้วยเสียงอันดังและโดยไม่ป้องกำบัง. (๗) ย่อมไม่บ้วนขากด้วยเสียงอันดัง หรือให้เปรอะเปื้อน ให้เป็นที่รังเกียจ. (๘) ย่อมไม่ลุกลนเลอะเทอะมูมมามในการบริโภค. (๙) ย่อมไม่ถูกต้องหรือหยิบยื่นสิ่งที่ผู้อื่นจะบริโภคด้วยมือตน. (๑๐) ย่อมไม่ล่วงล้ำ ข้ามหยิบ ของบริโภคผ่านหน้าผู้อื่น ซึ่งควรขอโทษและขอให้เขาส่งได้. (๑๑) ย่อมไม่ละลาบละล้วงเอาของผู้อื่นมาใช้ในการบริโภค เช่น ถ้วยน้ำ และผ้าเช็ดมือ. (๑๒) ย่อมไม่เอาเครื่องใช้ของตน เช่น ช้อนส้อมไปล้วงตักสิ่งบริโภคซึ่งเป็นของกลาง. (๑๓) ย่อมระวัง ไม่พูดจาตรงหน้าผู้อื่นให้ใกล้ชิดเหลือเกิน. วจีจริยา คือ (๑) ย่อมไม่กล่าวถึงสิ่งโสโครกพึงรังเกียจในท่ามกลางประชุมชน. (๒) ย่อมไม่กล่าวถึงสิ่งควรปิดบังในท่ามกลางประชุมชน. มโนจริยา คือ (๑) ย่อมพึงใจที่จะรักษาความสะอาด. ภาคสาม ผู้ดี ย่อมมีสัมมาคาราวะ.

สมบัติของผู้ดี ภาค ๓ ผู้ดี ย่อมมีสัมมาคารวะ


กายจริยา คือ (๒) ย่อมนั่งด้วยกิริยาสุภาพเฉพาะหน้าผู้ใหญ่ (๓) ย่อมไม่ขึ้นหน้าผ่านผู้ใหญ่. (๔) ย่อมไม่หันหลังให้ผู้ใหญ่. (๕) ย่อมแหวกที่หรือให้ที่นั่งอันสมควรแก่ผู้ใหญ่หรือผู้หญิง. (๖) ย่อมไม่ทัดหรือคาบบุหรี่ คาบกล้อง และสูบให้ควันไปรมผู้อื่น. (๗) ย่อมเปิดหมวกเมื่อเข้าชายคาบ้านผู้อื่น (๘) ย่อมเปิดหมวกในที่เคารพ เช่น โบสถ์ วิหาร ไม่ว่าแห่งศาสนาใด. (๙) ผู้น้อยย่อมเคารพผู้ใหญ่ก่อน. (๑๐) ผู้ชายย่อมเคารพผู้หญิงก่อน. (๑๑) ผู้ลาย่อมเป็นผู้เคารพก่อน. (๑๒) ผู้เห็นก่อนโดยมากย่อมเคารพก่อน. (๑๓) แม้ผู้ใดเคารพตนก่อน ย่อมต้องตอบเขาทุกคน ไม่เฉยเสีย.
วจีจริยา คือ (๑) ย่อมไม่พูดจาล้อเลียนหลอกลวงผู้ใหญ่. (๒) ย่อมไม่กล่าวร้ายถึงญาติมิตรที่รักใคร่นับถือของผู้ฟังแก่ผู้ฟัง. (๓) ย่อมไม่กล่าววาจาติเตียนสิ่งเคารพหรือที่เคารพของผู้อื่นแก่ตัวเขา. (๔) เมื่อจะขอทำล่วงเกินแก่ผู้ใด ย่อมต้องขออนุญาตตัวเขาก่อน. (๕) เมื่อตนทำพลาดพลั้งสิ่งใด แก่บุคคลใด ควรออกวาจาขอโทษเสมอ. (๖) เมื่อผู้ใดได้แสดงคุณต่อตนอย่างไร ควรออกวาจาขอบคุณเขาเสมอ. มโนจริยา คือ (๑) ย่อมเคารพยำเกรงบิดามารดาและอาจารย์. (๒) ย่อมนับถือนอบน้อมต่อผู้ใหญ่. (๓) ย่อมมีความอ่อนหวานแก่ผู้น้อย.


สมบัติของผู้ดี ภาค ๔ ผู้ดี ย่อมมีกิริยาเป็นที่รัก


กายจริยา คือ (๑) ย่อมไม่ฝ่าฝืนเวลานิยม คือ ไม่ไปใช้กิริยายืนเมื่อเขานั่งกับพื้นและไม่ไปนั่งกับพื้นเมื่อเวลาเขายืนเดินกัน. (๒) ย่อมไม่ไปนั่งนานเกินสมควรในบ้านของผู้อื่น. (๓) ย่อมไม่ทำกิริยารื่นเริงเมื่อเขามีทุกข์. (๔) ย่อมไม่ทำกิริยาโศกเศร้าเหี่ยวแห้งในที่ประชุมรื่นเริง. (๕) เมื่อไปสู่ที่ประชุมการรื่นเริงย่อมช่วยสนุกชื่นบานให้สมเรื่อง. (๖) เมื่อเป็นเพื่อนเที่ยว ย่อมต้องกลมเกลียวและร่วมลำบากร่วมสนุก. (๗) เมื่อตนเป็นเจ้าของบ้าน ย่อมต้องต้อนรับและเชื้อเชิญแขกไม่เพิกเฉย. (๘) ย่อมไม่ทำกิริยาบึกบึนต่อแขก. (๙) ย่อมไม่ให้แขกต้องคอยนานเมื่อเขามาหา. (๑๐) ย่อมไม่จ้องดูนาฬิกาในเวลาที่แขกยังนั่งอยู่. (๑๑) ย่อมไม่ใช้กิริยาอันบุ้ยใบ้หรือกระซิบกระซาบกับผู้ใด ในเวลาเฉพาะเมื่อตนอยู่ต่อหน้าผู้หนึ่ง. (๑๒) ย่อมไม่ใช่กิริยาอันโกรธเคือง หรือดุดันผู้คนบ่าวไพร่ต่อหน้าแขก. (๑๓) ย่อมไม่จ้องดูบุคคลโดยเพ่งพิศเหลือเกิน. (๑๔) ย่อมต้องรับส่งแขกเมื่อไปมา ในระยะอันสมควร. วจีจริยา คือ (๑) ย่อมไม่เที่ยวติเตียนสิ่งของที่เขา ตั้ง แต่ง ไว้ในบ้านที่ตนไปสู่. (๒) ย่อมไม่กล่าวสรรเสริญรูปกายบุคคลแก่ตัวเขาเอง. (๓) ย่อมไม่พูดให้เพื่อนเก้อกระดาก. (๔) ย่อมไม่พูดเปรียบเปรยเกาะแกะสตรีกลางชุมชน. (๕) ย่อมไม่ค่อนแคะติรูปกายบุคคล. (๖) ย่อมไม่ทักถึงการร้ายโดยพลุ่งโพล่งให้เขาตกใจ. (๗) ย่อมไม่ทักถึงสิ่งอันน่าอายน่ากระดากโดยเปิดเผย. (๘) ย่อมไม่เอาสิ่งที่น่าจะอายจะกระดากมาเล่าให้แขกฟัง. (๙) ย่อมไม่เอาเรื่องที่เขาพึงซ่อนเร้นมากล่าวให้อับอายหรือเจ็บใจ. (๑๐) ย่อมไม่กล่าวถึงการอัปมงคลในเวลามงคล. มโนจริยา คือ (๑) ย่อมรู้จักเกรงใจคน.

สมบัติของผู้ดี ภาค ๕ ผู้ดี ย่อมเป็นผู้มีสง่า


กายจริยา คือ (๑) ย่อมมีกิริยาอันผึ่งผายองอาจ. (๒) จะยืนนั่ง ย่อมอยู่ในลำดับอันสมควร ไม่เป็นผู้แอบหลังคนหรือหลีกเข้ามุม. (๓) ย่อมไม่เป็นผู้สะทกสะท้านงกเงิ่นหยุด ๆ ยั้ง ๆ . วจีจริยา คือ (๑) ย่อมพูดจาฉะฉานชัดถ้อยความ ไม่อุบอิบอ้อมแอ้ม. มโนจริยา คือ (๑) ย่อมมีความรู้จักงามรู้จักดี. (๒) ย่อมมีอัชฌาสัยอันกว้างขวาง เข้าไหนเข้าได้. (๓) ย่อมมีอัชฌาสัยเป็นนักเลง ใครจะพูดหรือเล่นอันใดก็เข้าใจและต่อติด. (๔) ย่อมมีความเข้าใจว่องไวไหวพริบ รู้เท่าถึงการณ์. (๕) ย่อมมีใจอันองอาจกล้าหาญ.

สมบัติของผู้ดี ภาค ๖ ผู้ดี ย่อมปฏิบัติการงานดี


กายจริยา คือ (๑) ย่อมทำการอยู่ในระเบียบแบบแผน. (๒) ย่อมไม่ถ่วงเวลาให้คนอื่นคอย. (๓) ย่อมไม่ละเลยที่จะตอบจดหมาย. (๔) ย่อมไม่ทำการแต่ต่อหน้า. วจีจริยา คือ (๑) พูดสิ่งใดย่อมให้เป็นสิ่งที่เชื่อถือได้. (๒) ย่อมไม่รับวาจาคล่อง ๆ โดยมิได้เห็นว่าการจะเป็นได้หรือไม่. มโนจริยา คือ (๑) ย่อมเป็นผู้รักษาความสัตย์ในเวลา. (๒) ย่อมไม่เป็นผู้เกียจคร้าน. (๓) ย่อมไม่เข้าใจว่า ผู้ดีทำอะไรด้วยตนไม่ได้. (๔) ย่อมไม่เพลิดเพลินจนละเลยให้การเสีย. (๕) ย่อมเป็นผู้รักษาความเป็นระเบียบ. (๖) ย่อมเป็นผู้อยู่ในบังคับบัญชาเมื่ออยู่ในหน้าที่. (๗) ย่อมมีมานะในการงานไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก. (๘) ย่อมเป็นผู้ทำอะไรทำจริง. (๙) ย่อมไม่เป็นผู้ดึงดันในที่ผิด. (๑๐) ย่อมปรารถนาความดี ต่อการงานที่ทำอยู่เสมอ.

สมบัติของผู้ดี ภาค ๗ ผู้ดี ย่อมเป็นผู้ใจดี


กายจริยา คือ (๑) เมื่อเห็นใครทำผิดพลาดอันน่าเก้อกระดาก ย่อมช่วยกลบเกลื่อนหรือทำไม่เห็น. (๒) เมื่อเห็นสิ่งของของใครตก หรือจะเสื่อมเสีย ย่อมต้องหยิบยื่นให้หรือบอกให้รู้ตัว. (๓) เมื่อเห็นเหตุร้าย หรืออันตรายจะมีแก่ผู้ใด ย่อมต้องรีบช่วย. วจีจริยา คือ (๑) ย่อมไม่เยอะเย้ยถากถางผู้กระทำผิดพลาด. (๒) ย่อมไม่ใช้วาจาอันข่มขี่. มโนจริยา คือ (๑) ย่อมไม่มีใจอันโหดเหี้ยมเกรี้ยวกราดแก่ผู้น้อย. (๒) ย่อมเอาใจโอบอ้อมอารีแก่คนอื่น. (๓) ย่อมเอาใจช่วยคนเคราะห์ร้าย. (๔) ย่อมไม่เป็นผู้ซ้ำเติมคนเสียที. (๕) ย่อมไม่เป็นผู้อาฆาตจองเวร.


สมบัติของผู้ดี ภาค ๘ ผู้ดี ย่อมไม่เห็นแต่แก่ตัวถ่ายเดียว


กายจริยา คือ (๑) ย่อมไม่พักหาความสบายก่อนผู้ใหญ่. (๒) ย่อมไม่เสือกสนแย่งชิงที่นั่งหรือที่ดูอันใด. (๓) ย่อมไม่เที่ยวแย่งผู้หนึ่งมาจากผู้หนึ่ง ในเมื่อเขาสนทนากัน. (๔) เป็นผู้ใหญ่ จะไปมาลุกนั่งย่อมไว้ช่องให้ผู้น้อยมีโอกาสบ้าง. (๕) ในการเลี้ยงดูย่อมแผ่เผื่อ เชื้อเชิญแก่คนข้างเคียงก่อนตน. (๖) ในที่บริโภค ย่อมหยิบยกยื่นส่งสิ่งของแก่ผู้อื่นต่อ ๆ ไป ไม่มุ่งแต่กระทำกิจส่วนตน. (๗) ย่อมไม่รวบสามตะกลามสี่กวาดฉวยเอาของที่เขาตั้งไว้เป็นกลาง จนเกินส่วนที่ตนจะได้. (๘) ย่อมไม่แสดงความไม่เพียงพอใจในสิ่งของที่เขาหยิบยกให้. (๙) ย่อมไม่นิ่งนอนใจให้เขาออกทรัพย์แทนส่วนตนเสมอ เช่น ในการเลี้ยงดูหรือใช้ค่าเดินทางเป็นต้น. (๑๐) ย่อมไม่ลืมที่จะส่งของ ซึ่งคนอื่นได้สงเคราะห์ให้ตนยืม. (๑๑) การให้สิ่งของหรือเลี้ยงดูซึ่งเขาได้กระทำแก่ตน ย่อมต้องตอบแทนเขา. วจีจริยา คือ (๑) ย่อมไม่ขอแยกผู้หนึ่งมาจากผู้หนึ่ง เพื่อจะพาไปพูดจาความลับกัน. (๒) ย่อมไม่สนทนาแต่เรื่องตนถ่ายเดียว จนคนอื่นไม่มีช่องจะสนทนาเรื่องอื่นได้. (๓) ย่อมไม่นำธุระตนเข้ากล่าวแทรกในเวลาธุระอื่นของเขาชุลมุน. (๔) ย่อมไม่กล่าววาจาติเตียนของที่เขาหยิบยกให้แก่ตน. (๕) ย่อมไม่ไต่ถามราคาของที่เขาได้หยิบยกให้แก่ตน. (๖) ย่อมไม่แสดงราคาของที่หยิบยกให้แก่ผู้ใดให้ปรากฏ. (๗) ย่อมไม่ใช้วาจาอันโอ้อวดตนและหลบหลู่ผู้อื่น. มโนจริยา คือ (๑) ย่อมไม่มีใจมักได้ (๒) ย่อมไม่ตั้งใจปรารถนาของรักเพื่อน. (๓) ย่อมไม่พึงใจการหยิบยืมข้าวของทองเงินซึ่งกันและกัน. (๔) ย่อมไม่หวังแต่จะพึ่งอาศัยผู้อื่น. (๕) ย่อมไม่เป็นผู้เกี่ยงงอนทอดเทการงานตนให้ผู้อื่น. (๖) ย่อมรู้คุณผู้อื่นที่ได้ทำแล้วแก่ตน. (๗) ย่อมไม่มีใจริษยา.


สมบัติของผู้ดี ภาค ๙ ผู้ดี ย่อมรักษาความสุจริตซื่อตรง


กายจริยา คือ (๑) ย่อมไม่ละลาบละล้วงเข้าห้องเรือนแขกก่อนเจ้าของบ้านเชิญ. (๒) ย่อมไม่แลลอดสอดส่ายโดยเพ่งเล็งเข้าไปตามห้องเรือนแขก. (๓) ย่อมไม่เที่ยวฉวยโน่นหยิบนี่ของผู้อื่นดูจนเหลือเกิน ราวกับว่าจะค้นหาสิ่งใด. (๔) ย่อมไม่เที่ยวขอหรือหยิบฉวยดูจดหมายของผู้อื่นที่เจ้าของไม่มีประสงค์จะให้ดู. (๕) ย่อมไม่เที่ยวขอหรือหยิบฉวยดูสมุดพกหรือสมุดจดรายงานบัญชีของผู้อื่น ซึ่งตนไม่มีธุระเกี่ยวข้องเป็นหน้าที่. (๖) ย่อมไม่เที่ยวนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือของผู้อื่น. (๗) ย่อมไม่เที่ยวเปิดดูหนังสือตามโต๊ะเขียนหนังสือของผู้อื่น. (๘) ย่อมไม่แทรกเข้าหมู่ผู้อื่นซึ่งเขาไม่ได้เชื้อเชิญ. (๙) ย่อมไม่ลอบแอบฟังคนพูด. (๑๐) ย่อมไม่ลอบแอบดูการลับ. (๑๑) ถ้าเห็นเข้าจะพูดความลับกัน ย่อมต้องหลบตาหรือลี้ตัว. (๑๒) ถ้าจะเข้าห้องเรือนผู้ใด ย่อมต้องเคาะประตูหรือกล่าววาจาให้เขารู้ตัวก่อน. วจีจริยา คือ (๑) ย่อมไม่ซอกแซกไต่ถามธุระส่วนตัวหรือการในบ้านของเขาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องแก่ตน. (๒) ย่อมไม่เที่ยวถามเขาว่า นั่นเขียนหนังสืออะไร. (๓) ย่อมไม่เที่ยวถามถึงผลประโยชน์ที่เขาหาได้เมื่อตนไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง. (๔) ย่อมไม่เอาการในบ้านของผู้ใดมาแสดงในที่แจ้ง. (๕) ย่อมไม่เก็บเอาความลับของผู้หนึ่งมาเที่ยวพูดแก่ผู้อื่น. (๖) ย่อมไม่กล่าวถึงความชั่วร้าย อันเป็นความลับเฉพาะบุคคลในที่แจ้ง. (๗) ย่อมไม่พูดสับปลับกลับกลอกตลบตะแลง. (๘) ย่อมไม่ใช้คำสบถติดปาก. (๙) ย่อมไม่ใช้ถ้อยคำมุสา. มโนจริยา คือ (๑) ย่อมไม่เป็นคนต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังอย่างหนึ่ง. (๒) ย่อมเป็นผู้รักษาความไว้วางใจแก่ผู้อื่น. (๓) ย่อมไม่แสวงประโยชน์ในทางที่ผิดธรรม. (๔) ย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในความเที่ยงตรง.


สมบัติของผู้ดี ภาค ๑๐ ผู้ดี ย่อมไม่ประพฤติชั่ว


กายจริยา คือ (๑) ย่อมไม่เป็นพาลเที่ยวเกะกะระรั้วและกระทำร้ายคน. (๒) ย่อมไม่ข่มเหงผู้อ่อนกว่า เช่น เด็กหรือผู้หญิง. (๓) ย่อมไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเจ็บอาย เพื่อความสนุกยินดีของตน. (๔) ย่อมไม่หาประโยชน์ด้วยอาการที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน. (๕) ย่อมไม่เสพสุราจนถึงเมาและติด. (๖) ย่อมไม่มั่วสุมกับสิ่งอันเลวทราม. (๗) ย่อมไม่หมกมุ่นในการพนัน เพื่อจะปรารถนาทรัพย์. (๘) ย่อมไม่ถือเอาเป็นของตน ในสิ่งที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตให้. (๙) ย่อมไม่พึงใจในหญิงที่มีเจ้าของหวงแหน. วจีจริยา คือ (๑) ย่อมไม่เป็นพาลพอใจทะเลาะวิวาท. (๒) ย่อมไม่พอใจนินทาว่าร้ายกันและกัน. (๓) ย่อมไม่พอใจพูดส่อเสียดยุยง. (๔) ย่อมไม่เป็นผู้สอพลอประจบประแจง. (๕) ย่อมไม่แช่งชักให้ร้ายผู้อื่น. มโนจริยา คือ (๑) ย่อมไม่ปองร้ายผู้อื่น. (๒) ย่อมไม่คิดทำลายผู้อื่นด้วยประโยชน์ตน. (๓) ย่อมมีความเหนี่ยวรั้งใจตนเอง. (๔) ย่อมเป็นผู้มีความละอายแก่บาป.

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ของเสริมฮวงจุ้ย






เสริมมงคล และตัวอย่างการแก้ไขฮวงจุ้ย


1.ไซเท้าหรือยันต์ “ สิงห์คาบดาบ”ยันต์สิงห์คาบดาบช่วยแก้เคล็ดได้ดีมาก สำหรับจุดที่ถือว่าเป็นจุดร้ายและเป็นอัปมงคลต่อบ้าน เช่น ประตุหันหน้ารับทางสามแพร่ง หรือมีวัด โรงพยาบาล โบสถ์ สุสาน ที่รกร้าง อยู่ข้างบ้านหรือฝั่งตรงข้ามบ้านมีสะพานลอยใหญ่ค้ำหน้าบ้าน หรือมีอาคารสูงใหญ่ยันค้ำยันบ้านในระยะใกล้ๆ เป็นต้น การใช้ยันต์สิงห์คาบดาบมาแขวนติดหน้าบ้านนั้น ควรมีพิธีกรรมอย่างคนจีนโบราณกระทำกัน คือในยามขาลหรือเวลาประมาณตี 3 ถึงตี 5ไม่เกินนี้ (อย่าให้ฟ้าสางก่อน) เตรียมเนื้อหมูสดๆ ดิบๆ สัก 3ชิ้นย่อมๆ มาเช็ดที่ปากสิงห์ชิ้นละ 3 ครั้ง รวมเป็น 9 ครั้ง แล้วโยนทิ้งบนดิน จากนั้นนำกระดาเงินกระดาษทองมาเช็ดที่บริเวณปากสิงห์ 3 ครั้งช้าๆ แล้วจึงเผากระดาษเงินกระดาษทองที่หน้าบ้าน อธิฐานขอให้สิงห์ช่วยงับช่วยจับสิ่งร้ายอันตรายต่างๆ ด้วย ขอให้ช่วยปกป้องรักษาบ้าน แล้วจึงค่อยยำสิงห์ขึ้นแขวนบนกำแพงหรือรั้วบ้าน



2.ยันต์โป๊ยข่วย หรือยันต์ 8 ทิศยันต์นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่ายันต์ปากัวก็ได้เช่นกัน นิยมใช้กันมากในการแก้ฮวงจุ้ยได้หลากหลาย เพราะเชื่อถือกันว่ายันต์โป๊ยข่วยจะแผ่รังสีไปได้กว้างไกลทั้งแปดทิศ จึงสามารถป้องกันและสะท้อนพลังร้ายๆ ต่างๆ ให้หักเหไปทางอื่น มิสามารถเข้าบ้านได้ พิธีกรรมที่พึงกระทำก็คือ การหากระดาษเงินกระดาษทองมาเช็ดโป๊ยข่วย แล้วเผากระดาษเงินกระดาทองก่อนอธิษฐานภาวนาขอให้โป๊ยข่วยช่วยปกปักรักษาบ้านด้วย ถ้ารู้จักพระจีนจะขอน้ำมนต์พระจีนมาประพรมโป๊ยข่วยสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน โป๊ยข่วยหรือยันต์ 8 ทิศติดไว้กันพลังร้ายของทางสามแพร่งได้ ถ้าบ้านตรงข้ามมีประตูตรงกับเราอย่างที่เรียกว่าประตูเล้งกัน ก็ควรติดโป๊ยข่วยไว้ หรือถ้าหน้าบ้านมีสะพานตรงมาหา มีมุมแหลมคมของตึกฝั่งตรงข้ามชี้พุ่งเข้าใส่ ก็สมควรติดโป๊ยข่วยป้องกันไว้เป็นสำคัญ


3.ตู้ปลา อ่างเลี้ยงปลาช่วยให้เกิดความร่มเย็น เสริมความสดชื่นกระชุ่มกระชวย ให้พลังแก่จิตวิญญาณ ช่วยเรียกโชคลาภเงินทอง ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในบ้าน แก้ไขความหยุดนิ่งและแห้งแล้ง


4.ลูกแก้วคริสตัลช่วยกระจายพลังงานที่ดีให้ไหลเวียนเข้าบ้าน ช่วยแก้ไขจุดอับและมุมทึบตันของบ้าน


5.ระฆังลม กระดิ่งช่วยเพิ่มพลังความสดใส เสริมความมีชีวิตชีวาในบ้าน แก้จุดอับรับเคราะห์ เรียกโชคลาภเงินทอง


6.น้ำพุ น้ำตกจำลองช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของพลังชีวิต ทำให้โชคลาภเข้าบ้าน แก้ไขความหยุดนิ่ง เพิ่มบารมี ความมั่นคง และเสริมอารมณ์จิตใจคนในบ้าน


7.กระจกเงาช่วยสะท้อนพลังร้าย รับแบะกระจายพลังที่ดี เสริมความอุดมสมบูรณ์ แก้ไขความนิ่ง จุดอับ และความหม่นมัว


8.ต้นไม้ช่วยเสริมความอุดมสมบูรณ์ ความร่มเย็นเป็นสุข เสริมพลังชีวิต แก้ไขจิตวิญญาณที่ขาดพลัง แก้ไขความไม่สมดุลกลมกลืนและความอับเฉาแห้งแล้ง


9.รูปปั้น หุ่นจำลองเสริมโชคลาภบารมี ช่วยให้มีความสมดุลกลมกลืน แก้ไขความหยุดนิ่งของอิทธิพลจากดวงชะตา และพลังร้ายในสถานที่นั้นๆ

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ยังเหลืออยู่ไหม


MV ยังเหลืออยู่ไหม จาก ZTUDIOTOMO ตัวเต็ม - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่









“หนิง” เศร้า!น้ำตาไหลพราก
“โตโม่”อึ้ง!นางเอกเศร้าเกินคาด


ฮิตโดนใจแฟนๆ ไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับเพลง “ยังเหลืออยู่ไหม” เพลงเปิดตัวในอัลบั้มที่ 2 “เลิฟ แทรคซ์” ของศิลปิน “สตูดิโอโตโม่” หรือ “สุขสมิทธิ์ อมาตยกุล” ค่ายสตูดิโอโตโม่ สังกัด “โมโน มิวสิค” โดยเพลงมีกระแสตอบรับค่อนข้างดี ทางศิลปิน “สตูดิโอโตโม่” จึงไม่รอช้าเร่งทำมิวสิควิดีโอ เพื่อเอาใจแฟนเพลงอย่างเต็มที่
โดยวันก่อนตั้งกล้องถ่ายทำมิวสิควิดีโอเพลง “ยังเหลืออยู่ไหม” กันตั้งแต่เช้า ณ ร้าน TUBA ซ.เอกมัย 21 งานนี้ได้นางร้ายหน้าสวย “หนิง” ปณิตา พัฒนาหิรัญ มารับบทนางเอกมิวสิควิดีโอ ด้านงานผลิตศิลบิน “สตูดิโอโตโม่” ขอโชว์ฝีมือกำกับฯด้วยตัวเอง เพื่อให้ได้ภาพออกมาตรงตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้
เริ่มลงมือถ่ายทำเก็บภาพบรรยากาศภายในร้าน โดยมีนักแสดงประกอบร่วมเข้าฉากเฮฮาปาร์ตี้ และพูดคุยกัน ซึ่งแต่ละคนแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติแบบมืออาชีพ
จากนั้นเก็บภาพของ 2 นักร้อง “เอิ้ล - ต่าย สตูดิโอโตโม่” สวมชุดเท่ ออกมายืนทำอารมณ์ร้องเพลง ยังเหลืออยู่ไหม ซึ่งกว่าจะได้มุมภาพที่สวยสมใจผู้กำกับฯ ใช้เวลาร้องอยู่หลายเที่ยวเหมือนกัน โดย 2 สาวตั้งใจทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด
ด้านนางเอกมิวสิคฯ “หนิง” มาแต่งหน้าทำผมตรงเวลาเด๊ะ โดยนางเอกสวยเซ็กซี่สุดๆ ในชุดแซกสีดำเกาะอก เริ่มถ่ายทำตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านด้วยใบหน้าเบื่อโลก เดินแค่ 2 รอบก็ได้ภาพที่ถูกใจผู้กำกับฯ ถ่ายต่อที่ “หนิง” นั่งฟังเพลง และคิดถึงภาพบรรยากาศเก่าๆ กับแฟนหนุ่ม โดยผู้กำกับฯ ปล่อยให้ “หนิง” นั่งฟังเพลงทำอารมณ์ไปเรื่อยๆ เพราะอยากได้ภาพที่เป็นธรรมชาติ
แต่จู่ๆ “หนิง” ก็ออกอาการเศร้า! น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ผู้กำกับฯ ยังไม่ได้สั่งให้ร้องไห้เลย โดย “หนิง” สารภาพว่า “น้ำตามันไหลออกมาเอง หนิงก็คิดตามเพลงไปเรื่อยๆ” โดยทางผู้กำกับฯ ไม่ได้ว่าอะไร เพราะได้ภาพตามที่ต้องการพอดี
โดย “หนิง” เผยความรู้สึกว่า “ครั้งแรกที่หนิงได้ฟังเพลง ยังเหลืออยู่ไหม หนิงแทบอยากจะเก็บค่าลิขสิทธิ์กับพี่โตโม่ เพราะเอาชีวิตรักของหนิงมาแต่งเพลงอย่างโดนเลย เพราะในเรื่องของความรักเราไม่สามารถ

อธิบายความคิด และความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ว่าเราคิดยังไง แต่พอได้ฟังเพลงนี้แล้ว เป็นเพลงที่แทนความรู้สึกของหนิงที่อยากจะพูด ซึ่งเพลงนี้นักร้องเสียงหวานมาก แต่ร้องโคตรเศร้าเลย ตอนที่เล่นมิวสิคฯ พี่โตโม่ผู้กำกับฯ เค้ายังไม่ได้สั่งให้หนิงร้องไห้นะ แค่ให้นั่งคิดเรื่องความรัก แต่พอได้ยินเพลงแล้ว น้ำตามันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยค่ะ” รู้น๊า..คิดถึงใครอยู่

ถ่ายฉากสุดท้ายหลังจาก “หนิง” กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ก็มีหนุ่มหล่อเดินเข้ามาจับไหล่ ทำให้ “หนิง” ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ใครคือหนุ่มหล่อคนนั้น ติดตามคำเฉลยได้ในมิวสิควิดีโอเพลง “ยังเหลืออยู่ไหม” ของศิลปิน“สตูดิโอโตโม่” ได้ทางช่อง True Music , Channel [V] , POP Channel และ http://www.mthai.com/monomusic

http://www.tempf.com/getfile.php?filekey=1210067760.03277_Track02.cda&mime=application/octet-stream

ฟังหรือยังเพลง ยังเหลืออยู่ไหม








“หนิง” เศร้า!น้ำตาไหลพราก
“โตโม่”อึ้ง!นางเอกเศร้าเกินคาด


ฮิตโดนใจแฟนๆ ไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับเพลง “ยังเหลืออยู่ไหม” เพลงเปิดตัวในอัลบั้มที่ 2 “เลิฟ แทรคซ์” ของศิลปิน “สตูดิโอโตโม่” หรือ “สุขสมิทธิ์ อมาตยกุล” ค่ายสตูดิโอโตโม่ สังกัด “โมโน มิวสิค” โดยเพลงมีกระแสตอบรับค่อนข้างดี ทางศิลปิน “สตูดิโอโตโม่” จึงไม่รอช้าเร่งทำมิวสิควิดีโอ เพื่อเอาใจแฟนเพลงอย่างเต็มที่
โดยวันก่อนตั้งกล้องถ่ายทำมิวสิควิดีโอเพลง “ยังเหลืออยู่ไหม” กันตั้งแต่เช้า ณ ร้าน TUBA ซ.เอกมัย 21 งานนี้ได้นางร้ายหน้าสวย “หนิง” ปณิตา พัฒนาหิรัญ มารับบทนางเอกมิวสิควิดีโอ ด้านงานผลิตศิลบิน “สตูดิโอโตโม่” ขอโชว์ฝีมือกำกับฯด้วยตัวเอง เพื่อให้ได้ภาพออกมาตรงตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้
เริ่มลงมือถ่ายทำเก็บภาพบรรยากาศภายในร้าน โดยมีนักแสดงประกอบร่วมเข้าฉากเฮฮาปาร์ตี้ และพูดคุยกัน ซึ่งแต่ละคนแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติแบบมืออาชีพ
จากนั้นเก็บภาพของ 2 นักร้อง “เอิ้ล - ต่าย สตูดิโอโตโม่” สวมชุดเท่ ออกมายืนทำอารมณ์ร้องเพลง ยังเหลืออยู่ไหม ซึ่งกว่าจะได้มุมภาพที่สวยสมใจผู้กำกับฯ ใช้เวลาร้องอยู่หลายเที่ยวเหมือนกัน โดย 2 สาวตั้งใจทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด
ด้านนางเอกมิวสิคฯ “หนิง” มาแต่งหน้าทำผมตรงเวลาเด๊ะ โดยนางเอกสวยเซ็กซี่สุดๆ ในชุดแซกสีดำเกาะอก เริ่มถ่ายทำตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านด้วยใบหน้าเบื่อโลก เดินแค่ 2 รอบก็ได้ภาพที่ถูกใจผู้กำกับฯ ถ่ายต่อที่ “หนิง” นั่งฟังเพลง และคิดถึงภาพบรรยากาศเก่าๆ กับแฟนหนุ่ม โดยผู้กำกับฯ ปล่อยให้ “หนิง” นั่งฟังเพลงทำอารมณ์ไปเรื่อยๆ เพราะอยากได้ภาพที่เป็นธรรมชาติ
แต่จู่ๆ “หนิง” ก็ออกอาการเศร้า! น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ผู้กำกับฯ ยังไม่ได้สั่งให้ร้องไห้เลย โดย “หนิง” สารภาพว่า “น้ำตามันไหลออกมาเอง หนิงก็คิดตามเพลงไปเรื่อยๆ” โดยทางผู้กำกับฯ ไม่ได้ว่าอะไร เพราะได้ภาพตามที่ต้องการพอดี
โดย “หนิง” เผยความรู้สึกว่า “ครั้งแรกที่หนิงได้ฟังเพลง ยังเหลืออยู่ไหม หนิงแทบอยากจะเก็บค่าลิขสิทธิ์กับพี่โตโม่ เพราะเอาชีวิตรักของหนิงมาแต่งเพลงอย่างโดนเลย เพราะในเรื่องของความรักเราไม่สามารถ

อธิบายความคิด และความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ว่าเราคิดยังไง แต่พอได้ฟังเพลงนี้แล้ว เป็นเพลงที่แทนความรู้สึกของหนิงที่อยากจะพูด ซึ่งเพลงนี้นักร้องเสียงหวานมาก แต่ร้องโคตรเศร้าเลย ตอนที่เล่นมิวสิคฯ พี่โตโม่ผู้กำกับฯ เค้ายังไม่ได้สั่งให้หนิงร้องไห้นะ แค่ให้นั่งคิดเรื่องความรัก แต่พอได้ยินเพลงแล้ว น้ำตามันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยค่ะ” รู้น๊า..คิดถึงใครอยู่

ถ่ายฉากสุดท้ายหลังจาก “หนิง” กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ก็มีหนุ่มหล่อเดินเข้ามาจับไหล่ ทำให้ “หนิง” ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ใครคือหนุ่มหล่อคนนั้น ติดตามคำเฉลยได้ในมิวสิควิดีโอเพลง “ยังเหลืออยู่ไหม” ของศิลปิน“สตูดิโอโตโม่” ได้ทางช่อง True Music , Channel [V] , POP Channel และ
www.mthai.com/monomusic ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป